เทศน์พระ

ถอดเขี้ยว

๖ ธ.ค. ๒๕๕๗

 

ถอดเขี้ยว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ เรามาบวชเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม เราต้องการสัจธรรม อยากค้นหาความจริงไง เราเป็นคนจริงเราอยากหาความจริง อุตส่าห์บวชอุตส่าห์เรียนเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราเป็นพระป่า พระป่านี่ ยี่ห้อของพระป่า พระป่าคือพระปฏิบัติ

เวลาปฏิบัติเอาอะไรปฏิบัติ เวลาปฏิบัติเห็นไหม เราอยู่กับทางโลก ประชาชนเขาเป็นบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาเขาอยากส่งเสริม ส่งเสริมคือการประพฤติปฏิบัติ ถ้าขาดแคลนสิ่งใดเขาจะส่งเสริม เวลาจะประพฤติปฏิบัติเราก็ว่าเราขาดแคลนไง ขาดทุกอย่าง ทุกอย่างขาดแคลนไปหมด

แต่เวลาเราจะปฏิบัติ เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปอยู่กับมูเซอ เวลาเขาเข้าใจผิด เข้าใจว่าเป็นเสือเย็น เขาเอาคนมาเฝ้าเอาคนมาดู ท่านก็พยายามประพฤติปฏิบัติของท่าน จนกว่าเขาเปลี่ยนใจของเขา เขาเห็นโทษของเขา พอเห็นโทษของเขา เขามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์

แล้วเวลาเขามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แล้วเขามาดูแลเขายังต่อว่านะ “อยู่อย่างกับสัตว์ อยู่อย่างกับหมูป่า” เพราะที่มันเวลาฝนตกดินมันเป็นตมเป็นเลน เวลาเดินจงกรมก็เดินจนเตะรากไม้ อยู่ได้ยังไงๆ เห็นไหม ขนาดเขาเป็นมูเซอนะ เขาอยู่ป่าอยู่เขา ความเป็นอยู่ของเขาเขาคุ้นเคยอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วเขามาเห็นว่าความเป็นอยู่ของหลวงปู่มั่นกับมหามันอยู่ได้ยังไง เขาบอกอยู่ได้ยังไง มาอยู่ได้ยังไง ทำไมอยู่ได้ ทำไมไม่บอกๆ แต่บอกตอนนั้นเขาก็ไม่เชื่อไง เห็นไหม

เวลาจะปฏิบัติเอาอะไรปฏิบัติ เราก็ว่าเราปฏิบัตินี่ขาดแคลนไปทุกเรื่อง ประชาชนเขาอยากส่งเสริมอยู่แล้ว เขาอยากต้องการผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงอยู่แล้ว เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราต้องมีหัวใจเราปฏิบัติไง เพราะเราเป็นคนนะ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาเวลาสอนๆ ถึงสัจธรรม สัจธรรม ทุกข์ สมุทัย นิโรค มรรค นี่สัจจะ เวลาจิตใจของเรากลั่นออกมาจากอริยสัจ กลั่นออกมาจากทุกข์ สมุทัย นิโรค มรรค เห็นไหม เวลามรรค มรรคญาณ มรรคมันเกิดขึ้น มรรคมันพิจารณาของมัน มันถอดมันถอนของมัน เห็นไหม เวลาจิตมันกลั่นมาจากอริยสัจแล้วจิตมันมาจากไหน

เวลาจิต เวลาเราเกิดมาเป็นคนเห็นไหม นี่เกิดในวัฏฏะ จิตมันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์นรกอเวจี เห็นไหม เวลาเกิดเป็นคน เกิดเป็นคนเกิดมีศักยภาพ มนุษย์มีสมองมาศึกษาพุทธศาสนา มาศึกษาพุทธศาสนานะ ศึกษามาไว้ทำไม เห็นไหม ปริยัติศึกษาไว้เพื่อปฏิบัติ เราศึกษาไว้เป็นแนวทางนะ

เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เป็นผู้ที่มีปัญญาไง เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็กลัวคนอื่นจะหลอกเราไง กลัวครูบาอาจารย์จะหลอก กลัวสังคมจะหลอก กลัวจะหลอกไปหมด มีทิฏฐิมานะว่าตัวเองนี้สูงส่ง เวลาไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือศึกษามาด้วยกิเลส พอศึกษาขึ้นมาแล้วก็มาถือดี ถือดีว่าเรารู้ เราเห็น เราเข้าใจ นี่เป็นพุทธพจน์ คนอื่นพูดไม่มีค่า เรามีค่า มีค่าเพราะอะไร? มีค่าเพราะมันเชื่อไง มีค่าเพราะมันเชื่อ มีค่าเพราะมันยอมรับ พอยอมรับขึ้นมามันก็ว่าสิ่งนั้นถูกต้องๆ เลยศึกษามาเป็นทิฏฐิมานะ

เขาศึกษาไว้เป็นแนวทาง เขาศึกษานี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เวลาศึกษาปริยัติขึ้นมาปฏิบัติ ปฏิเวธ เวลาศึกษาเราปฏิบัติเห็นไหม แต่เวลาเราปฏิบัติ เรามาบวชเป็นพระกัน เราบวชเป็นพระมานี่ครูบาอาจารย์ท่านบอก เห็นไหม อยู่ที่บ้านตาดเวลาเขาจะเข้ามาในวัดในวา ท่านบอกว่า “ให้ถอดเขี้ยวถอดเล็บไว้ที่ประตูนั่นก่อนนะ” เวลาเรามาถอดเขี้ยวถอดเล็บของเราไว้ที่ประตู อย่าเอาเขี้ยวเอาเล็บเข้ามาด้วย อย่ามากางเขี้ยวกางเล็บมาตบมาฉีกกันในวัดนี้

นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นสัตว์ไหม เวลาสัตว์เราเอามาเลี้ยง ดูสิ สุนัขเวลามันดุเห็นไหม เขาใส่ตะกร้อมันไว้ สัตว์นี่ เวลางูเขาเอามาเลี้ยงเขาตัดเขี้ยวมัน เวลาเขาจะตัดเขี้ยวตัดเล็บของสัตว์เขาทำได้ ดูสิ สุนัขเราเอามาเลี้ยงไว้เล็บมันยาวเขาตัด เวลาเขี้ยวมันมีปัญหาพาไปหาหมอ เขาตัดได้ทั้งนั้น เวลาเขาตัดเขี้ยวตัดเล็บทางพวกสัตว์เดรัจฉานเขาตัดได้เลย เขาทำได้เลย

แล้วของเราเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ถอดเขี้ยวถอดเล็บไว้นะ อย่าเอาเขี้ยวเอาเล็บมากางกัน มาทำร้ายกันในสังฆมณฑล” เราบวชมาเราบวชมาเพื่อทำไม ถ้าเราบวชเรามาถอดเขี้ยวถอดเล็บ เราถอดกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันจะไปถอดที่ไหนล่ะ ถ้าเราถอดที่ไหน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ต้องว่าต้องมีความสะดวกพอสมควร เราถึงปฏิบัติได้ แล้วเดี๋ยวนี้ปัญญาชน คุณภาพชีวิต ชีวิตที่สูงส่ง ปฏิบัติขึ้นไปนี่

ไอ้นั่นมันเรื่องโลก เอาเรื่องโลกมาได้ยังไง เห็นไหม ดูสิ ตอนนี้ธรรมทูตๆ เราจะไปเผยแผ่ธรรมกัน ไปทางตะวันตกเห็นไหม ไปถึงบอกว่าเขาหิมะตกนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะไปทางตะวันตก สมัยเราอยู่อีสานวิตกกังวลกันไปหมด เอาผ้าหนาๆ เอามาตัดเป็นจีวงจีวรกันเพื่อไปนะ เวลาไปเห็นไหม นี่ไง เวลาเขาไปแล้วเขาไปอยู่ในตึก เพราะเวลาหิมะมันตกออกมาไม่ได้

สิ่งที่เวลาเราไปธรรมทูตจะไปเผยแผ่ศาสนา แล้วเวลาหลวงตาท่านบอกไง เอาอะไรไปเผยแผ่ จะเอาอะไรไปเผยแผ่ศาสนา มีอะไรไปเผยแผ่ แต่ถ้าเวลาเราเห็นไหม เราศึกษามาเราศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติเอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา เรามีคุณธรรมไหม หัวใจเราเป็นธรรมไหม ถ้าหัวใจเป็นธรรมที่เราจะมาสำรอกคายมันออกเห็นไหม มันถอดเขี้ยวถอดเล็บ เวลาเขาถอดเขี้ยวถอดเล็บ เวลาสัตว์เห็นไหม เวลาสัตว์ที่มันดุมันร้ายเขามีคอกขังมันไว้ เขาขังคอกไว้เพราะว่ามันเป็นสัตว์ สัตว์หน้าขนไว้ใจไม่ได้ เราเลี้ยงสิ่งใดไว้เวลามันฟิวส์ขาด มันโกรธ มันกัดทั้งนั้น แล้วยิ่งมันเป็นสัดด้วยอย่าเข้าไปใกล้มันเลยนะ สัตว์นี่

เวลาเป็นสัด ดูสิ ช้างเวลามันตกมันเห็นไหม นั่นน่ะเวลาช้างตกมันขนาดครวญช้างมันยังฆ่าเลย เวลาสัตว์เดรัจฉานเห็นไหม ขนาดอย่างนั้นเขายังถอดเขี้ยวถอดเล็บมันได้ แล้วเรานี่เราเป็นสัตว์ประเสริฐ เราเป็นคนเรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาครูบาอาจารย์ท่านไปศึกษากับท่าน หลวงตาท่านบอกว่า “ให้ถอดเขี้ยวถอดเล็บทิ้งไว้ที่ปากประตูนั่นนะ อย่าเอาเขี้ยวเอาเล็บเข้ามา” แล้วใครมีเขี้ยวมีเล็บไหม

ดูสิ ในเมื่อฆราวาสศึกษาในพระพุทธศาสนามีใจอยากออกบวช ให้โกนหนวด เห็นไหม โกนขน โกนหนวด ตัดเล็บ ตัดหนวด ตัดออกหมด สิ่งนี้มันเป็นสัญลักษณ์ของนักบวชไง เวลาสิ่งที่เป็นวัตถุมันทำได้ทั้งนั้น แต่เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติเราจะถอดเขี้ยวถอดเล็บหัวใจของเรา ไม่ใช่มากางมาแผ่พังพานว่าเรามีศักยภาพ

ใครไม่มี ไม่มีความคิดกันเลยเหรอ เราไม่ใช่คนเหรอ เราก็คนทั้งนั้น คนเรามีการศึกษาไหม มี เรามีการศึกษาทั้งนั้น เรามีการศึกษา เรามีปัญญาทั้งนั้น เราก็มีเขี้ยวมีเล็บ ใครบ้างไม่มีเขี้ยวมีเล็บ

ดูสิ ดูทางโลกเขา เวลาการข่าวของเขา ฝ่ายความมั่นคงของเขาเขาหาข่าวของเขา ฝ่ายความมั่นคงเขาวางแผนของเขาเพื่อความมั่นคงของเขา เวลาการข่าวเขาเขาสู้กันในทางการข่าวเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ไอ้นั่นมันเรื่องของโลกนะ ความมั่นคงของเขา แต่ของเราเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราฟังธรรมๆ เพื่อเตือนสติของเรา เราจะมาถอดเขี้ยวถอดเล็บของกิเลสนะ ถ้าเรามาถอดเขี้ยวถอดเล็บของกิเลส นี่กิริยาเห็นไหม

ดูสิ เวลาสมัยของหลวงปู่มั่น หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ฝั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นเห็นไหม มันได้ความอบอุ่นมา หลวงปู่ฝั้นกับหลวงปู่อ่อนท่านเป็นมหานิกาย ท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ท่านศึกษามาท่านบวชมาแล้วท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน กิตติศัพท์กิตติคุณของหลวงปู่มั่นท่านมีชื่อเสียงมากก็ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่าน ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านอบรมสั่งสอนเห็นไหม โอ๋ ได้คุณธรรม ได้คุณธรรมอะไร

คนที่มีศักยภาพเวลาเราทำสิ่งใดไป หัวใจของเรามันมีประสบการณ์ของมันเห็นไหม เรานั่งสมาธิ เราก็เคยเห็นเคยรู้ของเราว่ามันจะเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมาเกิดความคิดขึ้นมาเราก็คิดว่านั่นเป็นปัญญา เกิดความคิด เกิดความเห็น เกิดจินตนาการต่างๆ แล้วใครจะแก้ไขเราล่ะ

หลวงปู่มั่นท่านแก้ให้ได้หมดล่ะ เพราะถ้าแก้ได้มันก็มาสะท้อนใจ คนที่มีธรรมในใจไง เรามาอาศัยท่านอยู่ แล้วเราได้ประโยชน์จากท่านมหาศาลเลย ท่านคอยชี้นำ ท่านคอยดูแลเรา แล้วเรามันเป็นนานาสังวาส เราได้ประโยชน์จากท่านหมดเลย แล้วเวลาหลวงปู่มั่นท่านเจ็บไข้ได้ป่วย เราอยากจะอุปัฏฐากท่านเพื่อน้ำซักแก้วหนึ่งยาซักเม็ดหนึ่งยื่นใส่มือท่านก็ทำไม่ได้เพราะเป็นนานาสังวาส ท่านตัดสินใจญัตติใหม่เลย หลวงปู่ฝั้นท่านกลับไปญัตติเห็นไหม คนมีคุณธรรม

เพราะถ้ามันมีเขี้ยวมีเล็บใช่ไหม อ้าว ก็ฉันเอาประโยชน์ๆ ฉันมาเป็นลูกศิษย์ ฉันก็ฟังธรรม ฉันก็ประพฤติปฏิบัติไง นานาสังวาสก็นานาสังวาสมันทำไม่ได้ไง อ้างไง อ้างเล่ห์อ้างว่านานาสังวาสร่วมกินกันไม่ได้ ร่วมนอนกันไม่ได้ ก็ทำอะไรสิ่งใดกันไม่ได้ แต่ฉันจะเอาประโยชน์ของฉัน ฉันจะเอาแต่ความเห็นของฉัน ฉันจะเอาประโยชน์ของฉันคนเดียว นี่มันก็คิดไปได้

แต่ท่านถอดเขี้ยวถอดเล็บ ท่านวางหมด เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วเราก็ใฝ่ดีหวังดี เวลาเราศึกษาเองปฏิบัติเอง มันก็มืดบอดไปทั้งหมด มรรค ๘ ก็มืดแปดด้าน หลวงปู่อ่อนพูดเอง มรรค ๘ มืดแปดด้าน เวลาบอกมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรมทั้งนั้น แต่ปฏิบัติไปมืดแปดด้าน ปิดมืดหมดเลย

แล้วสององค์ไปศึกษากับหลวงปู่มั่น ไปศึกษา ไปค้นคว้า ไปประพฤติปฏิบัติตามความจริงในใจของตัวเอง นี่ญัตตินะ ท่านได้ประโยชน์ไง ท่านได้ประโยชน์ ท่านได้ผู้ชี้นำ นี่ไง ถอดเขี้ยวถอดเล็บเห็นไหม แล้วเวลาบวชแล้วมาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นให้ออกประพฤติปฏิบัติ แล้วมีสิ่งใดเวลาสงสัยก็เข้ามาหาท่าน ท่านแก้ไขให้ท่านทำให้เห็นไหม มันมีบุญมีคุณ ฉะนั้น คำพูดของครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงพูดออกมาจากน้ำใจ พ่อ แม่ ครู จารย์ ไม่ได้พูดออกมาจากปาก ไม่ได้พูดออกมาพร่อยๆ

เวลาพูดพูดออกมาจากปากพร่อยๆ พูดมาอวดเขาว่าเป็นโวหาร เป็นคำพูด เป็นคำพูดที่ออกมาจากน้ำใจ ให้เขาเห็นว่าฉันนี่เป็นคนมีคุณธรรม พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่ครูจารย์แล้วพฤติกรรมเอ็งน่ะ สิ่งที่เอ็งทำมันสมกับความเป็นพ่อแม่ครูจารย์ตรงไหน ถ้ามันสมกับพ่อแม่ครูจารย์เห็นไหมแม้แต่ลับหลังก็ยังเคารพนะ

เวลาหลวงตาท่านจะลงมากรุงเทพฯ เวลาท่านอยู่บ้านตาดนะ ท่านบอกว่า “ต่อหน้าและลับหลังเวลาผมอยู่ก็เรียบร้อยไปหมดแหละ เวลาผมไม่อยู่นะ ถ้าเป็นสุภาพบุรุษมันต้องทำเหมือนที่ผมอยู่” แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านไม่ต้องพูดอย่างนั้น เพราะหลวงปู่มั่นท่านรู้ท่านเห็นของท่าน ท่านจัดการของท่านได้จบ เห็นไหม

แต่หลวงตาเวลาท่านจะออกจากวัดมากรุงเทพฯ แต่ละทีเห็นไหม ต่อหน้าๆ ต่อหน้าและลับหลังให้มันเหมือนกัน ต่อหน้าทำเคารพนบนอบ ต่อหน้านี่แหม เหมือนกับผ้าพับไว้เลย พอลับหลังแมวไม่อยู่หนูร่าเริงทันที แล้วเวลาอยู่กับท่านนะ เวลาท่านจะออกจากวัด เช้าขึ้นมาท่านฉันข้าวเสร็จแล้วท่านจะออกจากวัดท่านจะไม่ให้ใครรู้เลย เพราะอะไร เพราะถ้าวันไหนหลวงตาไม่อยู่นะ โอ้โฮ มันสนุกครึกครื้น มันอิสระ แต่ถ้าท่านอยู่นี่ไม่กล้า

นี่ไง เพราะมันไม่ถอดเขี้ยวถอดเล็บจริงไง ถ้ามันถอดเขี้ยวถอดเล็บขึ้นมา เพราะสิ่งที่เราทำมันต่อหน้าลับหลัง ทำไมต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่งล่ะ ถ้ามันจริงนะ ถ้าต่อหน้าลับหลัง เห็นไหม ดูกิเลสนะ เวลากิเลสเห็นไหม มันบังเงา มันอ้างได้หมดล่ะ นี่ไง เวลาพระเราปฏิบัติแล้วมีคุณธรรมหมดล่ะ เทศนาว่าการนี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่โอ้โฮ มันดีงามไปหมดล่ะ

มันดีงามจริงๆ แต่ดีงามแล้วมันเป็นประโยชน์กับเราหรือเปล่าล่ะ อย่างนี้มันไม่เป็นประโยชน์กับเราเลยนะ ไม่เป็นประโยชน์กับเราเพราะมันพูดได้แต่ทำไม่ได้ พูดได้ทำไม่ได้ พูดไปทำไม พูดไปเห็นไหมพูดไปให้กิเลสมันตัวอ้วนๆ ใช่ไหม พูดได้ทำไม่ได้ แล้วพูดแล้วก็ไม่มีใครท้วงติง แต่ผู้รู้เขามี นี่ไงถ้าผู้รู้เขามีนะ นั่นพูดอย่างนั้นถูกต้องหรือเปล่า มันเป็นความจริงหรือเปล่าเห็นไหม มันไปพอกพูนไปพอกเขี้ยวพอกเล็บให้มันใหญ่ขึ้นนะ เขามีแต่ถอดเขี้ยวถอดเล็บ ถอดเขี้ยวถอดเล็บออกเพื่อทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบได้ นั่นล่ะมันจะถอดเขี้ยวถอดเล็บ มันจะถอดถอน มันจะถอดสิ่งที่ยอกใจหมดเลย สิ่งที่ปักเสียบอยู่ในหัวใจ

เวลาธรรมะเห็นไหม นี่ความคิด ที่ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันขี้ทั้งนั้น ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ดูสิ เวลาคนเข้าไปเหยียบขี้ เวลาคนเขาไปตกในหลุมขี้ เวลาคนเขาไปถ่ายทุกข์ เห็นไหม เขายังทำความสะอาดเลย แหม เวลาถ่ายทุกข์ถ่ายไปแล้วล้างเกลี้ยงเลย ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เห็นไหม เขาถอดเขาถอนมัน แล้วนี่เวลาพูดธรรมะ แหม สูงส่ง มีคุณธรรมนะ เวลาออกมาจากสำนักครูบาอาจารย์นี่เสือลายพาดกลอนเลย แหม พร้อมเลยนะ ลายพาดกลอนเลย คือว่าความรู้ฉันมหาศาลพร้อมที่จะแสดงว่าเขี้ยวเล็บนี่กางเต็มที่เลยนะ นั่นล่ะขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้ทั้งนั้น

แต่ถ้าเราจะถอดของเราล่ะ เรามีสติปัญญานะ เพราะเราทำทำเพื่อใครล่ะ? เราทำเพื่อใคร? เราทำเพื่อหัวใจของเรานะ ถ้าเราทำเพื่อหัวใจของเรา เห็นไหม ดูสิ ข้อวัตรปฏิบัติที่ใครทำคนนั้นได้ ถ้าเราไม่ทำเราก็ไม่ได้สิ่งใด แล้วเราทำทำไม นี่ไง เราทำทำไม เพราะว่าอะไร

หมู่สงฆ์เห็นไหม ดูสิ เวลาหมู่สงฆ์ สงฆ์ขึ้นมามันก็เหมือนร่างกายๆ หนึ่ง ร่างกายนี่สังฆะ ความพร้อมกัน เวลาอุโบสถเห็นไหม สงฆ์เป็นวรรคทำกรรมไม่ได้ ขาดแม้แต่องค์เดียวไม่ได้ ถ้าขาดแม้แต่องค์เดียวสงฆ์เป็นวรรคทำกรรมปรับอาบัติปาจิตตีย์ทุกองค์ ผู้ที่มาไม่ได้ เจ็บไข้ได้ป่วยมาไม่ได้ต้องให้ฉันทะมา ให้ฉันทะคือบอกกล่าวมา แล้วมันต้องมากล่าวท่ามกลางสงฆ์นี้ ว่ายังมีภิกษุอีกหนึ่งองค์ท่านมีความปรารถนาอยากจะมาลงร่วมสังฆกรรม แต่ท่านมาไม่ได้ ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย ได้มอบฉันทะคือได้ฝากให้ผมมาประกาศที่ท่ามกลางสงฆ์นี้ สงฆ์นี้รับทราบ ต้องสงฆ์นี้รับทราบ แล้วสงฆ์นี้จะลงอุโบสถ

เวลาอุโบสถแล้วมีสงฆ์ ๔ องค์ไปหาภิกษุที่ป่วยนั้นให้เขาบอกบริสุทธิ์มา มันยังเกี่ยวเนื่องกัน มันยังเกี่ยวเนื่องกับสังฆกรรมนี้ ถ้ามันไม่เกี่ยวเนื่องกับสังฆกรรมนี้เห็นไหม สงฆ์เป็นวรรคทำกรรมไม่ได้ คือเป็นวรรคเป็นตอนคือมีพรรคมีพวกมีคน มีอยู่องค์หนึ่งที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกับสังฆกรรมนี้ ผู้ที่ทำสังฆกรรมนี้ปรับอาบัติปาจิตตีย์ผู้ที่ทำสังฆกรรมทุกองค์เลย นี้เพราะอะไร เห็นไหม ร่างกายๆ หนึ่ง สังฆะหนึ่ง สงฆ์หนึ่ง เวลาทำสังฆกรรม ถวายของสงฆ์ๆ สงฆ์คืออะไร สงฆ์คือภิกษุ ๔ รูปขึ้นไป ๔ รูปรวมกันเป็นสงฆ์ องค์ๆ หนึ่งมีความเห็นผิด มีองค์ๆ หนึ่งที่มีความเห็นที่แตกแถวนี่ไม่ได้

เวลาทางโลกเขาประชาธิปไตยๆ เวลาทางธรรมเรานี่ธรรมาธิปไตย ต้องเป็นฉันทามติ จะทำสังฆกรรมทุกอย่างต้องเป็นฉันทามติ ขาดแม้แต่องค์เดียวไม่ได้ ค้านแม้แต่องค์เดียวไม่ได้ ค้านแม้แต่องค์เดียวสังฆกรรมนั้นถือว่าล่ม นี่ไง พูดถึงว่าถ้าจะถอดเขี้ยวถอดเล็บเห็นไหม ถอดเขี้ยวถอดเล็บ ถ้าเรามีสติปัญญาแล้วศึกษามา ศึกษาธรรมวินัยด้วยความซาบซึ้ง ศึกษาธรรมวินัยไว้เพื่อขัดเกลากิเลส ศึกษาธรรมวินัยไว้เพื่อประโยชน์กับเรา แล้วถ้ามีความซื่อสัตย์มีความเป็นจริงอย่างนั้นนี่ศีล ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีลปกติแล้วจะทำสมาธิ

พอทำสมาธิขึ้นมาสิ่งที่ว่าเขี้ยวเล็บของใจเห็นไหม ความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้โลภอยากจะกว้านทุกอย่างมาเป็นของเราหมดเลย ขี้โกรธ นี่ขี้โกรธ สิ่งใดไม่ถูกใจโกรธเขาหมดเลย ขี้หลง หลงตัวเองหลงทุกอย่างไปหมดเลย แล้วจะทำสมาธิได้ไหม จะทำสมาธิได้หรือเปล่า ไหนว่าจะทำสมาธิไง ไหนว่านักปฏิบัติ ไหนว่าจะมาถอดเขี้ยวถอดเล็บ แล้วเอาเขี้ยวเอาเล็บที่ไหนมาถอด ก็มันพอกพูนอยู่เต็มหัวใจไง โอ๊ย มีกิตติศัพท์กิตติคุณ นี่ใบประกาศมาเต็มเลย พกมา ๕๐ ใบ ๕๐๐ ใบนู่นน่ะ แต่มันทำพฤติกรรมมันไม่สมกับเป็นความจริงเลยเห็นไหม นี่ไง มันถึงว่าซ่อนเขี้ยวซ่อนเล็บ ซ่อนไว้ทำไมล่ะ ซ่อนไว้ทำลายตนเอง สิ่งที่ทำแล้วนะ

ดูสิ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราบวชเป็นพระ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมาอาบัติหนักเราไม่อยากทำกัน อาบัติหนักไม่อยากทำนะ ถ้าอาบัติหนักทำเห็นไหม ตั้งแต่สังฆาทิเสสขึ้นไปภาวนาไปได้ยากแล้ว แม้แต่วิบัติ ๔ เห็นไหม เวลาเราอยู่ในหมู่คณะเรา เวลาปฏิบัติ ทุกคนเวลาจิตมันไม่ลงๆ ภาวนาพยายามเต็มที่แล้วมันเป็นเพราะเหตุใด ตรวจสอบตัวเองก็แล้ว ถ้าว่าศีล ศีลเราก็อยู่ด้วยกันน่ะ ปลงอาบัติก็ปลงแล้ว ตรวจสอบทุกอย่าง พอตรวจสอบทุกอย่างแล้วถ้าไม่ลงใจในอุปัชฌาย์เห็นไหม วิบัติ ๔ ไม่ลงในอุปัชฌาย์ทำทัฬหีกรรมบวชซ้ำ บวชมาเพื่อตัดความไม่สะอาดบริสุทธิ์อันนั้น เพื่อจะมาปฏิบัติให้มันก้าวหน้า

ความว่าก้าวหน้า ก้าวหน้าคือความอบอุ่นหัวใจ ก้าวหน้าคือว่าจิตใจของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์เห็นภัยในวัฏสงสาร ถึงได้เสียสละความเป็นมนุษย์นั้นมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระแล้วเราก็อยากจะปฏิบัติเห็นไหม อยากปฏิบัติให้เข้ากระแส อย่างน้อยก็ให้พาดกระแส อย่างน้อยก็ได้เห็นสัจธรรม แล้วถ้ามันทำไปแล้วมันติดขัดไปหมด มันเป็นเพราะเหตุใด

ตรวจสอบๆๆ เห็นไหม ตรวจสอบเสร็จแล้วถึงที่สุดแล้วถ้าไม่แน่ใจในอุปัชฌาย์ ไม่แน่ใจแล้ว เวลาเราไม่แน่ใจในอุปัชฌาย์บวชเป็นพระไหม เป็น! ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่พื้นฐานเลย ถ้าเราไม่แน่ใจ สังฆกรรมนั้นเราไม่มั่นใจ เราบวชมาเป็นพระไหม เป็น! เพราะบวชมาแล้ว คนบวชมันไม่รู้ พอบวชมาไม่รู้เขาต้องเข้าสังฆกรรมใช่ไหม ถ้าเข้าสังฆกรรม ถ้าบอกว่าไม่เป็นสังฆกรรมนั้นมันก็เป็นโมฆะหมดล่ะสิ

ฉะนั้น เวลาบวชมา บวชมาในอุปัชฌาย์อาจารย์ร่วมกัน บวชมาในวงกรรมฐานเรา บวชมาแล้วก็บวชมาเป็นพระ พอบวชมาเป็นพระแล้วเป็นพระไหม เป็น เพราะเป็นพระแล้วมันต้องทำสังฆกรรม เพราะสังฆกรรมนั้นมันต้องสะอาดบริสุทธิ์ แล้วถ้าสังฆกรรมนั้น แล้วถ้าไม่เป็นพระมันเข้าสังฆกรรมได้ไหม

ดูสิ เวลาลงอุโบสถ ฆราวาสเข้ามาได้ไหม ไม่ได้ แม้แต่ทำสังฆกรรม เวลาตั้งญัตติมันก็ต้องอยู่ห่างจากเราแล้ว แต่เวลาคนที่บวชมาด้วยวิบัติแล้วเข้ามาเป็นสงฆ์ไหม เป็น ลงอุโบสถได้ไหม ได้ เวลาร่วมกันได้ไหม ได้ แต่เราแน่ใจว่าอุปัชฌาย์ของเราขาดจากสงฆ์ ยังเป็นพระอยู่ไหม เรารู้ขึ้นมาแล้วความเป็นสงฆ์ก็ขาด แต่ขาดแล้วเราจะยอมรับไหม เราจะบวชซ้ำ จะบวชทำทัฬหีกรรมหรือเราจะปล่อยให้เราเน่าในอยู่อย่างนั้นไง เห็นไหม

เราจะมาถอดเขี้ยวถอดเล็บไง ถ้าถอดเขี้ยวถอดเล็บ แล้วสิ่งนี้เราถอดเขี้ยวถอดเล็บแล้วเราจะถอดถอนกิเลสในใจไง เราจะถอดถอนความหมักหมมในหัวใจไง ถ้าเราจะถอดความหมักหมมในหัวใจมันจะถอนที่ไหน การถอนคือทำความสงบของใจเข้ามา ดูสิ หลวงปู่มั่นเวลาท่านปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติเวลาออกจากสมาธิมาออกจากการปฏิบัติมา เอ๊ะ มันก็ปกติ มันเป็นเพราะเหตุใด ทดสอบๆ พยายามค้นคว้าพิจารณาด้วยปัญญาของท่าน

อื้อ อดีตชาติเคยปรารถนาพระโพธิสัตว์ ถ้าปรารถนาพระโพธิสัตว์เห็นไหม สร้างบุญกุศลมามหาศาลนะ พระโพธิสัตว์เวลาประพฤติปฏิบัติมันจะได้ฌานโลกีย์ อยู่กับอภิญญาอย่างนั้นเพื่อสร้างสมบารมี ฌานโลกีย์มันจะอภิญญา จะรู้ รู้วาระ รู้ต่างๆ เพื่อสร้างสมบารมี เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์ในวัฏฏะที่ไหนตกทุกข์ได้ยากพระโพธิสัตว์จะเข้าไปโอบอุ้ม พระโพธิสัตว์จะไปช่วยเหลือเจือจาน มันถึงเข้าอริยมรรคไม่ได้ มันทำได้แต่อภิญญา ทำได้แต่ฌานโลกีย์

ฉะนั้น เราก็ปรารถนา ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์เห็นไหม เวลาพิจารณาไปแล้วมันก็ออกมาปกติ พิจารณาไปแล้ว พิจารณากายเข้าไปแล้วมันก็เหมือนกับถนนขาด พิจารณาไปแล้วก็ไปเจอเหมือนกำแพง มันไปไม่ได้ แล้วมาพิจารณาด้วยปัญญาของท่านเห็นไหม ด้วยปัญญา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทกดาบส อาฬารดาบสรับรอง เห็นไหม ได้สมาบัติ ๘ เหมือนเรา เป็นอาจารย์ได้เหมือนเรา เขาย่องยก ยกย่องเทียบเท่า อาจารย์เลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ มันแก้กิเลสไม่ได้ พอมันแก้กิเลสไม่ได้ ท่านถึงได้ละได้วางแล้วท่านออกมาค้นคว้าของท่านเอง จนท่านทะลุด้วยปัญญาญาณของท่าน ด้วยมรรคญาณของท่าน หลวงปู่มั่นเวลาท่านพิจารณาของท่านเห็นไหม ท่านพิจารณาของท่าน พิจารณากายเพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นเป็นสาวก สาวกะ เราเกิดมาท่ามกลางพุทธศาสนา

หลักธรรมในพุทธศาสนามีอยู่ ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมนั้น แต่ประพฤติปฏิบัติขนาดไหนด้วยความเป็นสุภาพชนด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ พิจารณาแล้วมันไม่ไป พิจารณาแล้วมันปกติ พิจารณาแล้วดูสิ ในเมื่อเขี้ยวเล็บในใจมันถอดไม่ได้ มันคาอยู่นี่ แล้วทำยังไงๆ พิจารณาๆ พิจารณาด้วยปัญญาญาณของท่าน

อื้อ..ด้วยคุณธรรมนะ ด้วยอำนาจวาสนานะ ด้วยความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บารมียิ่งใหญ่นะ ทำความสงบของใจเข้าไป ใจสงบแล้วไปลากันที่ในสมาธินั้น ไปลากันที่ฐีติจิตนั้น นี่ลาฐีติจิต ลา บอกว่าที่สร้างมาก็รู้ว่าสร้างมา อันนี้เป็นสมบัติส่วนตน เป็นจริตนิสัย เป็นอำนาจวาสนา เป็นสมบัติส่วนตน ไม่มีใครจะแย่งชิงใครได้ ใครจะมาทำให้ยุบยอบ ใครจะมาเพิ่มเติมให้ ไม่มี เป็นเพราะเราทำของเรามาเอง

แต่ด้วยความปัญญา ด้วยความค้นคว้า ด้วยความว่าถ้าปฏิบัติในปัจจุบันนี้มันก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้เหมือนกัน มันก็เป็นพระอรหันต์ได้เหมือนกันเห็นไหม เข้าไปลาจากฐีติจิต ลาแล้วออกมาทำความสงบของใจเข้าไปใหม่ จิตสงบเข้าไปแล้ว เวลาพิจารณากายเข้าไป พอพิจารณาเข้าไปมันถอดเขี้ยวถอดเล็บ ถอดนะ... มันถอด เวลามันพิจารณาไปแล้วมันถอดยังไง มันถอดเพราะอะไร เพราะความลังเลสงสัย เพราะสิ่งที่มันคาหัวใจ เพราะสิ่งที่มันคาใจไว้ มันโล่งหมด มันถอดออกหมด มันวางหมด มันทำได้ เวลาออกจากสมาธิมานะ “เออ! มันต้องอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้”

เวลาคนที่มีคุณธรรมเขาทำของเขาอย่างนั้นเห็นไหม มีคุณธรรม มีอำนาจวาสนา จะถอดเขี้ยวถอดเล็บ จะภาวนา เขาเทียบเคียง สิ่งใดที่เป็นอกุศล สิ่งใดที่ทำแล้วเป็นบาปเป็นกรรมเขาไม่ทำ คนที่มีสติปัญญาเขาจะถอดเขี้ยวถอดเล็บของเขา เขาถอดเขี้ยวถอดเล็บก็เพื่อตัวเขาเอง ไม่ใช่มาเพิ่มบาปเพิ่มกรรมมาสร้างความแตกแยกสร้างบารมีสร้างด้วยการทำอกุศล

อะไรเป็นอกุศล เห็นไหม กุศลๆ ถึงพร้อม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ความชอบธรรมนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะไปชักไปทำให้ผิดพลาดผิดเพี้ยนไปได้ เพราะมันชอบธรรม มันชอบธรรมในตัวมันเองไง แต่ถ้ามันอกุศลมันไม่ชอบธรรม “อกุศล” มันไม่ชอบธรรม ถ้าไม่ชอบธรรมๆ ก็ต้องกระมิดกระเมี้ยน หลบหลีก แอบทำ ทำด้วยความในที่ลับ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “กรรมไม่มีที่ลับที่แจ้ง” ทำในที่ลับมันก็ให้ผลมากกว่าที่แจ้งด้วย ทำในที่แจ้งมันก็ให้ผลเหมือนกัน อ้าว! กรรมมันมีที่ลับที่แจ้งที่ไหน อกุศลไปแอบทำแล้วมันจะไม่เป็นบาปที่ไหน มันบาปกรรมทั้งนั้น แล้วจะมาถอดเขี้ยวถอดเล็บ ไอ้นี่มันเพิ่มเขี้ยวเล็บนะ เวลาหมาบ้า เวลามันกัดใครไม่ได้มันกัดหางตัวเองเห็นไหม ขี้เรื้อนน่ะ เวลามันคัน มันพยายาม มันกัด มันพยายามขบกัดผิวหนังมันเพราะอะไร เพราะว่ามันคัน นี่ไง นี่ไง เวลามันอกุศลมันจะเป็นคุณประโยชน์ตรงไหนล่ะ มันไม่เป็นประโยชน์

ถ้าจะถอดเขี้ยวถอดเล็บ การว่าถอดเขี้ยวถอดเล็บเราต้องสัมมาทิฏฐิ เรามีความเห็นถูกต้อง เรามาเพื่อคุณงามความดีของเรา แล้วคุณงามความดีของเรามันไม่ใช่อยู่ที่ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ อันนั้นโลกธรรม ๘ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ติฉินนินทา สรรเสริญนินทา แล้วเราไปปรารถนาตรงนั้น ปรารถนาให้คนสรรเสริญ ปรารถนาลาภ ปรารถนายศถาบรรดาศักดิ์ ปรารถนาการยอมรับของสังคม เอ็งออกมาจากสังคมไม่มีคนดูแลเอ็งเหรอ บวชเป็นพระมาเอ็งก็ประกาศแล้วว่าสมณะผู้ละผู้วาง แล้วเอ็งปรารถนาอะไร เอ็งปรารถนาชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ นั่นเป็นการปฏิบัติธรรมเหรอ เขาละกันมาทั้งนั้น เขาละกันมา เห็นไหม

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปฏิบัติอยู่ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ ปัญจวัคคีย์ทิ้งไปเลย เหลืออยู่องค์เดียว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านไปของท่านอย่างมากก็มีผู้อุปัฏฐากองค์เดียว แต่หนุ่มๆ ไม่มีเลย ท่านไปองค์เดียวทั้งนั้น มันจะต้องเอาใครไปพะรุงพะรังด้วย จะไปวิเวกจะต้องเอาเซเว่นไปด้วยใช่ไหม จะไปวิเวกต้องเอาเซเว่นไปดักหน้าไว้เหรอ จะไปวิเวกกันเหรอ

มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องที่เป็นไปได้ เวลาเขาไป เห็นไหม ดูสิ หลวงตาท่านพูด พระเราออกธุดงค์ออกธุดงค์ทำไมกัน ออกธุดงค์ค้นคว้าหาตัวเอง เวลาไปนะ ขึ้นป่าขึ้นเขาแบกกลดแบกบาตรไปทุกข์ยากขนาดไหน ไปทำไม ก็ไปหาตัวเรานี่แหละ ไปอยู่ก็ไปอยู่บ้านน้อยๆ ไม่ให้เขามายุ่งมายากกับเรา ถ้าเขาบ้านใหญ่เขาดูแลเรา ตกเย็นก็มาแล้วมาศึกษาธรรมะ มาศึกษา ท่านไปท่านก็ออกหาที่บ้านน้อยๆ มีหลัง ๒ หลัง อาศัยการดำรงชีวิต แล้วค้นหาตัวเรา เราไปธุดงค์ไปหาจิตใจของเรานะ เราไม่ใช่ไปเพื่อให้เขายอมรับนะ ไม่ต้องยอมรับหรอก เขาอยู่ป่าอยู่เขาเขาอยู่สุขสบายอยู่แล้ว

มีเห็นไหม ดูสิ พระธุดงค์ เวลาไปถึงไหน ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเขาแล้วสงสาร อยากจะให้ชาวเขานุ่งยีนส์ เวลาเขาไถกันก็อยากจะเอารถไถไปช่วยเขา เวลาเขาปลูกข้าวไร่ ก็บอกจะเอารถไถไปช่วย วางแผน โอ้ย เพราะอะไร เพราะเราคนเมือง ความคุ้นชินของเรา วัฒนธรรมของเรา เราไปเห็นชาวป่าชาวเขาเราสงสารเขามาก อูย เขามีไม้อันเดียว เขาปักดินแล้วเขาก็หยอดข้าว อูย เขาไม่มีเครื่องมือทำมาหากินเลย อูย เราจะต้องไปช่วยเหลือเจือจานเขา ช่วยเหลือเจือจานอะไร ที่ลาดชันอย่างนั้นรถมันจะไปไถยังไง ที่ลาดชันอย่างนั้น มีพระใหม่ๆ ไปธุดงค์อย่างนี้เยอะมาก ไปถึงนะ โอ้โฮ ไปเห็นเขาแล้วมันสงสารเขาไปหมด แล้วก็มาหาเรา หลวงพ่อ เขาไม่มียีนส์จะขอเสื้อผ้าไปแจก จะขอนู่นไปแจก จะขอนี่ไปแจก

มันเป็นวัฒนธรรมประเพณีของเขา เราจะไปทำลายวัฒนธรรมประเพณีของเขา เราจะ ช่วยเหลือเจือจานเขาต้องช่วยเหลือเจือจานจากรากเหง้าวัฒนธรรมของเขาขึ้นมา จากความเป็นอยู่ของเขาให้เขายืนอยู่ได้โดยวัฒนธรรมของเขา ไม่ใช่จะเอาน้ำประปาขึ้นไปให้เขา จะเอาน้ำทุกอย่างไปให้เขา ถ้าประปาภูเขาเขาทำของเขาได้ เขาทำความเจริญได้ อันนั้นทำได้

ถ้ามันจะวิเวกมันวิเวกที่นี่ไง ถ้าจะวิเวกนะ ออกวิเวก ใช่ เวลาออกพรรษาแล้วพระเราต้องออกหาความสงบสงัด ต้องออกเปลี่ยนสถานที่เพื่อให้จิตใจตื่นตัว เพื่อการค้นคว้า เราต้องค้นคว้าตัวเราเอง ที่เราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เราจะมาถอดเขี้ยวถอดเล็บ เราไม่ใช่สัตว์ เวลามันจะกัดนะ เขาใส่ตะกร้อ ถ้างูมันจะกัดนะ เขาส่งเสาวภาตัดเขี้ยวมัน ถอดเขี้ยวถอดเล็บเนี่ย ถ้าเป็นสัตว์เขาถอดง่ายๆ เลย

แต่เราจะถอดเขี้ยวถอดเล็บเราใครมันจะถอดให้ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผลจะถอดให้ แล้วจะถอดให้มันต้องมีคุณธรรม มีคุณธรรมหมายถึงว่ามันต้องทำขึ้นมาจากสัมมาทิฏฐิ ทำขึ้นมาจากความถูกต้องดีงาม ถ้ามันความถูกต้องดีงามมันเป็นกุศล สิ่งที่เป็นกุศลเห็นไหม สิ่งที่เป็นกุศลกับความเป็นกุศลกับความเป็นธรรมมันจะเข้ากัน

อกุศล นี่ยุแหย่ แตกแยก แล้วมันจะเป็นกุศลได้ยังไงล่ะ เวลาจะไปก็ไปด้วยความหวาดกลัว ไปด้วยความหวาดระแวง ไปด้วยความกลัวเขาจะรู้เท่ารู้ทัน ปกปิดไว้ ยุแหย่ไว้ แล้วกลัวเรื่องมันจะแดง แล้วมึงไปภาวนาอะไรกัน อยู่วัด มึงอยู่วัด มึงภาวนายังไม่ลง แล้วมึงก็ไปนั่งสะดุ้งอยู่ในป่า มึงก็ไปนั่งไปจุดไฟเผามึงกันอยู่ในนั้น ไปนั่งภาวนาก็ไฟเผาอยู่ในหัวใจ กลัวแต่เรื่องมันจะแดงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันจะเอาความสงบมาจากไหน ไหนว่าจะถอดเขี้ยวถอดเล็บ

ถอดเขี้ยวถอดเล็บมันต้องถอดเขี้ยวถอดเล็บมาตั้งแต่ต้น มันเป็นธรรมและเป็นอธรรม ถ้ามันเป็นธรรมนะ เป็นธรรมแต่ต้นทำสิ่งใดก็เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมให้ใครมาเพ่งโทษให้ใครมาบิดเบือนให้มันเป็นอธรรม มันเป็นไปไม่ได้! สิ่งที่เป็นธรรมยังไงมันก็เป็นธรรม

ถ้ามันเป็นอธรรม มันไปอยู่กับใครมันก็เป็นอธรรมเห็นไหม ดูเทวทัตอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ มันคิดได้ยังไง บอกจะปกครองสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันคิดได้ยังไง “เทวทัต แม้แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เรายังไม่ให้เลย ต้องให้สงฆ์ปกครองสงฆ์” ถ้ามันเป็นธรรมมันเป็นธรรมทั้งนั้น ถ้ามันเป็นอธรรมยังไงมันก็เป็นอธรรม มันจะไปถอดเขี้ยวถอดเล็บมันจะไปถอดกันมันมีแต่ไปเสริมไง เขี้ยวเล็บมันจะเน่า

ดูสิ เวลาปวดฟันรากฟันมันเน่า มันจะมีความเจ็บปวดในเหงือกมึงนั้นล่ะ แล้วมึงบอกมึงจะถอดฟันๆ มันเป็นโดยธรรมชาตินะ นี่จะพูดให้เห็นว่ากิเลสเห็นไหม ระหว่างธรรมกับอธรรมมันแตกต่างกันมหาศาล ถ้าเป็นธรรมภิกษุมันต้องออกวิเวกอยู่แล้ว การไปมันไปอยู่แล้ว การไปครูบาก็ส่งเสริมอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่การชักนำ ไม่ใช่การสร้างสิ่งที่ว่าเป็นความลับ สิ่งที่สร้างฟืนสร้างไฟ แล้วเวลาไปแล้วนะ

ความลับไม่มีในโลก ใครเป็นคนทำ คนทำนั่นแหละจะไปนั่งสะดุ้งอยู่ แล้วไปนั่งสะดุ้งอยู่ แล้วมันเป็นจริงขึ้นมาได้ไหม มันพูดด้วยความสังเวชนะ สังเวช นี่ไงสมบัติของเราๆ เราสละทานก็เป็นสมบัติของเรา เรารักษาศีลก็เป็นสมบัติของเรา เราภาวนาก็เป็นสมบัติของเรา เราเกิดเป็นปัญญาญาณก็เป็นสมบัติของเรา มันสมบัติของเราทั้งนั้นถ้าทำดีเป็นสมบัติของเรา ธรรมะมันต้องเป็นธรรมะวันยังค่ำ ธรรมก็คือธรรม ทำดีก็เป็นทำดี ถ้ามันเป็นอธรรมมันจะเป็นธรรมขึ้นมาได้ยังไง มันเป็นอธรรม มันเป็นธรรมไม่ได้หรอก

ถ้าจะถอดเขี้ยวถอดเล็บมันต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเห็นดีงาม เราจะถอดเขี้ยวถอดเล็บของเรานะ เราจะถอดถอนอวิชชา ถอดถอนความเห็นผิด ถ้าถอดความเห็นผิดสิ่งที่มันยุมันแหย่ขึ้นมาเห็นไหม มันธรรมะเก่าแก่ไง มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มันอยากได้ลาภอยากได้ยศ ได้การยอมรับ ได้ยศถาบรรดาศักดิ์

แหม มันแบบว่าทำไมมันไปกินมูตรกินคูถอย่างนั้น หัวใจที่มีคุณธรรม เราเสียดาย เสียดายความเป็นพระของเรา แล้วลงไปเป็นมูตรเป็นคูถ ไอ้นั่นเขาไว้ให้สุนัขมันกิน สุนัขเอาไว้เขาเอาไว้กินขี้ หัวใจเราจะไปกินขี้เหรอ เราต้องกินศีล สมาธิ ปัญญาสิ เราจะสร้างคุณงามความดีของเรานะ มันเสียดายไง แต่มันก็เป็นกรรมของสัตว์ เขาปรารถนาอย่างนั้น เขามีความเห็นอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้นเพื่ออกุศลของเขา อันนั้นมันกรรมของสัตว์

ฉะนั้นเราจะถอดเขี้ยวถอดเล็บ มันเป็นคติ เป็นความเห็น แล้วผู้ที่มีธรรมเห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ถ้าใจเป็นธรรมมันมองอะไรเป็นธรรมไปหมดล่ะ มันมองแล้วมันเห็นไง มองแล้วมันเห็นแล้วมันสังเวช ธรรมสังเวช มันสังเวชมากนะ สังเวชว่าทำไมมันเอาฟืนเอาไฟเผามัน ทำไมมันสร้างเวรสร้างกรรมของมัน โง่ได้ขนาดนั้นเนาะ แล้วมันบอกมันจะปฏิบัติ แล้วมันเอาแต่ฟืนแต่ไฟเผามัน

เห็นไหม เป็นคติเป็นแบบอย่าง แล้วเราเอาสิ่งนี้มาเป็นคติ แล้วเราใช้สติปัญญาใคร่ ครวญเพื่อประโยชน์กับเรา ถามใจตัวเอง ถามใจเราว่าเราปรารถนาอะไร เราบวชมา เราเกิดมาในวัฏฏะเราก็ทุกข์ยากพอแรงอยู่แล้ว แล้วเราจะพ้นจากทุกข์เราจะทำความจริงของเราขึ้นมาอย่างใด ให้เป็นความจริงเถอะ จะทำที่ไหน จะทำอย่างใด ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าความจริงขึ้นมาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบ เอวัง